วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บ้านดอนข่า...ที่คิดถึง

เผลอแปปเดียวก็ย่างเข้า เดือนพฤศจิกายนแล้ว ลมหนาวก็เริ่มพัดผ่านแก้มอันหยาบกระด้างของเราอีกปี เข้าหน้าหนาวทีไรอดที่จะหวนนึกถึงบ้านเกิดไม่ได้ สมัยเป็นเด็กประถมเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดเพราะแต่ละฤดูวงจรชีวิตของพวกเราก็เปลี่ยนตามง่ายๆคล้ายกิ้งก่าเปลี่ยนสีตามใบไม้ยังไงอย่างงั้น จำได้ว่าหน้าหนาวทีไรเด็กๆมักจะนอนขี้เซาแต่ไม่ใช่เลยสำหรับผมและเพื่อนๆเพราะหน้าหนาวยิ่งต้องตื่นเช้ากว่าปกติ (ประมาณ ตี 5.30) เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือห้วยท้ายหมู่บ้านที่น้ำเริ่มแห้งขอดตามกาลเวลา ใช่คับ เราไปหาปลา ไปจับปลาจับด้วยมือเปล่า เพียวๆนี่หละครับ เพราะเช้าๆปลาจะไม่ว่ายน้ำมันจะนอนหรือซุกตัวอยู่ตามซอกไม่ ซอกใบไม้ หรือ อะไรที่พอกำบังตัวมันได้ หลายคนคงคิดว่าโฮ เช้าแบบนี้ยังไปลงน้ำหาปลาอีกหรอ ใช่คับ เวลานี้หละเหมาะที่สุดเพราะน้ำที่เราคิดว่าจะเย็นนั้นกลับอบอุ่นกำลังดี มิน่าปลาถึงได้นอนหลับสบายโดยไม่รุ้ว่ามัจจุราชกำลังเดินทางมาแล้ว พวกเราค่อยๆหย่อนเท้าเพื่อไม่ให้ปลาตื่น แล้วค่อยๆเดินตะคุ่มตะคุ่มไปตามกองใบไม้ กอไม้ ซึ่งไม่ผิดหวังเลยเพราะทุกกองที่เราตระคุบจะมีปลาเล็กปลาน้อยติดมือมาทุกครั้งไป หากใครได้ปลาช่อนซึ่งถือว่าเป้นแจ๊คพอต ก็จะตะโกนบอกเพื่อนๆ พวกเราใช้เวลาอยุ่สักพักจนพระอาทิตย์ทอแสงสีทองเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกชีวิตได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เว้นแต่บรรดาปลาเล้กปลาน้อยในถุงของพวกเรากลับมาจบชีวิตในช่วงเช้าซะนี่ ( บาปกรรม) ได้เวลากลับบ้านเพื่อเอาไปให้แม่ทำกับข้าวเช้านี้ ส่วนมากแม่ก็จะปิ้งหรือไม่ก็หมกแค่นี้ก็เป้นอาหารชั้นเลิศของผมแล้ว เมื่อกินข้าวกินปลาเสร็จก็พอดีเวลาไปโรงเรียน ถึงจะออกแต่เช้าแต่ก้ไม่เคยถึงโรงเรียนแต่เช้าเลย ครับ เพราะห้องเรียนธรรมชาติมันมีตลอดสองข้างทาง กว่าจะถึงโรงเรียนก็เกือบ 8 โมง ทันเข้าแถวพอดี ฤดุหนาวแบบนี้ส่วนใหญ่คุณครูมักจะพาออกมานั่งเรียนนอกห้องเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนอีกแบบซึ่งผมและเพื่อนๆจะชอบมากๆเพราะไม่ค่อยชอบความหนาวกันเท่าไหร่อาจเพราะพวกเราไม่ค่อยมีเสื้อกันหนาวสวมใส่กันเพราะมันเป้นอะไรที่ไม่ชินสำหรับพวกเราอยุ่แล้ว เมื่อเสียงรฆังบอกเวลาเข้าแถวเพื่อรอกลับบ้านเวลานี้เองที่พวกเราจะนัดแนะกันว่าเย็ยนี้จะทำอะไรกันบ้าง มันก็ไม่มีอะไรมากเพราะทำอยู่ซ้ำๆ อันดับแรกเลยคือหาปลา เพราะช่วงเย็นๆใกล้พระอาทิตย์ตกดินปลามักจะเข้าที่กำบัง ไม่รู้ทำไมมันก็ไม่เข็ดนะ รู้ๆๆอยุ่ว่ามาแอบตรงนี้อายุจะสั้นก็ยังมากันอยุ่เรื่อยๆ พอตกกลางคืนก็มีนัดกันจับจิ้งหรีด (อาหารชั้นเลิศ) วิธีจับก็คือเดินไปตามเสียงที่พวกมันร้อง คนหนึ่งส่องไฟ อีกคนถือเสียม พอเห็นปุ๊ปคนถือเสียมก็จะเอาเสียมสับไปที่ปากหลุมกันไม่ให้มันวิ่งลงรู ส่วนอีกคนก็ต้องรีบตระคุบ นึกถึงทีไรก็อดขำไม่ได้ ว่าทำไมสมัยเด็กเราถึงเป็นหัวโจกได้ พอเข้ามัธยมทั้งผมและเพื่อนๆก็แทบจะไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้อีกเลย เพราะตอนเช้าก็ต้องรับตื่น ตอนเย็นก็กลับถึงบ้านพลบค่ำแล้ว จวบจนปัจจุบันกลับบ้านทีไรผมมักจะเดินไปที่ท้ายหมู่บ้าน ไปดูห้วยที่เราเคยหาปลาที่ตอนนี้ทางการมาทำการขุดลอกเพื่อทำเป็นทางระบายน้ำแบบคอนกรีตที่ไม่มีกอไม้กอหญ้าให้ปลาได้หลบภัยแล้ว ตกดึกก็จะออกมานั่งนอกชานแหงนมองดูดวงดาวยามราตรีกาลส่งแสงสว่างระยับเต็มท้องฟ้าไปพร้อมกับเสียงดนตรียามค่ำคืน จากนักดนตรีพื้นบ้านทีพวกเราเคยไล่ล่าสมัยยังเด็กๆที่ตอนนี้กลับมาเป็นเพื่อนยามเหงาที่ผมสามารถพูดคุยได้ในเวลากลับไปพักผ่อนที่บ้านดอนข่า...