วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พัธมิตร วิกฤตบ้านเมือง

ตั้งใจใว้ว่ากลับจากอู่ตะเภาแล้วจะมาเขียนเรื่องราวการผจญภัยที่หาที่ใหนไม่ได้อีกแล้ว ต้องขอบคุณพี่น้องพันธมิตรที่หยิบยื่นโอกาสนี้ให้กับผมและน้องๆได้ไปเที่ยวพักผ่อนพร้อมผจญภัยในช่วงต้นฤดูหนาวแบบนี้ พี่สาวและเพื่อนๆหลายคนต่างกดโทรศัพท์มาสอบถามว่า " หยุดกี่วัน? ได้หยุดหรือเปล่า? ไปโน่นไปนี่กันใหม" โฮมีใครถามผมบ้างครับว่าตอนนี้ทำอะไรอยูที่ใหน ผมจึงตอบทุกคนว่าตอนนี้กำลังมาเที่ยวตากอากาศที่อู่ตะเภา เล่นเอาทุกคนอิจแตร้อนกันเลยครับ แต่หารู้ใหมว่าตอนนี้ผมกำลังวิ่งเป็นสาละวนเพราะงานเข้าแล้วครับพี่น้อง ผมได้ถูกส่งตัวไปทำหน้าที่ประสานงานและให้บริการสายการบินลูกค้าเป็นการชั่วคราวที่อู่ตะเภา ไม่ได้ไปเที่ยวอะไรที่ใหนหรอกครับ สาเหตุก็เพราะว่าบรรดาญาตๆของผมท่านเล่นมาขอใช้สนามบินสุวรรณภูมิเป้นที่ปิคนิค ชั่วคราวระหว่าง 25พย-04 ธค. แต่ผมได้รับคำสั่งไปอู่ตะเภาในคืนวันที่ 29 พยเนื่องจากมีสายการบินที่เราให้บริการแจ้งความประสงค์ที่จะนำเครื่องมารับผู้โดยสารของตนกลับ ตอนรับโทรศัพท์ก็ยืนยันว่าไปแค่ 2 วันไปกับพี่อีกคนที่แผนกไปดูหน่อยว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ผมจึงเก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ผมไปถึงชลบุรีเอาตอนเที่ยงคืนก้แวะพักที่บ้านญาตของพี่เขาในเมืองพัทยา เพราะคิดว่าตอนเช้าจะรีบตื่นแต่เช้าไปอู่ตะเภา

เช้าวันที่ 30 พย ผมและพี่อีกคนรีบพากันไปอู่ตะเภาแต่เช้า อากาศกำลังเย็นสบายแต่เอทำไมอู่ตะเภาบรรยากาศมันเหมือนกรุงเทพจังเลย ตอนแรกนึกว่าหลงทางครับ เพราะว่ารถราพลุกพล่านไปหมด ไม่เหมือนบรรยากาศการขับรถในต่างจังหวัดเลย เมื่อเราเลี้ยวรถเข้าเขตสนามบินก็มีบรรดาทหารกล้ามาคอยให้คำแนะนำ ว่าไปทางใหน เมื่อเข้ามาถึงเขตทางเข้าผมไม่อยากเชื่อว่าจากท้องทุ่งโล่งๆ ถนนโล่งๆ จะเต็มไปด้วยรถรา และบรรดาผู้โดยสารมากมายขนาดนี้ ผมใช้เวลาร่วมชั่วโมงในการหาที่จอดรถ มองไปทางใหนก้เต็มไปด้วยผู้โดยสารที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการกลับบ้าน กองทัพนักข่าวที่มาติดตามทำข่าวทั้งไทย ทั้งเทศ ดูสับสนอลหม่านไปหมด แต่ละสำนักข่าวก็อยากได้ข่าวของพลเมืองตัวเอง สอบถามได้ความว่าอู๋ตะเภาตัดสินใจเป้นสนามบินรองรับผู้โดยสารที่จะเดินทางออกนอกประเทศและกลับมายังประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 28 พย ที่ผ่านมาซึ่งตอนแรกนั้นมีเพียงเที่ยวบินของการบินไทยและบางอกอแอร์เวส์ของผมเท่านั้นที่มาใช้บริการ แต่เมื่อแจ้งข่าวไปยังสายการบินอื่นๆที่ต้องการมารับผู้โดยสารของตนกลับประเทศเท่านั้น จากที่เคยรองรับ 5-6 เที่ยว/วัน เนื่องด้วยสภาพอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวก มีเพียงอย่างละ 1 เท่านั้น เน้น 1 เท่านั้น ทำให้สนามบินอู่ตะเภาแน่นขนัดทันตาเห็น ทันที่ที่ผมก้าวออกจากรถ ความวุ่นวายก็วิ่งเข้ามาหาทันที เราจะไปทางใหนดี เพราะสิ่งแรกที่เราต้องทำคือ ต้องหาทางเข้าให้ได้ก่อน เราต้องฝ่ากองทัพผู้โดยสารเข้าไปให้ได้ก่อน โชคดีที่น้องคลีนเนอร์ที่มาก่อนเราได้มานำทางเข้าไปจนได้
เช้าวันที่ 30 พย เราได้รับแจ้งว่ามีสายการบินมาลง 8 สาย TK, WY,EK,EY,FX,ORB,UL,QR ซึ่งผมได้แจ้งกลับมายัง สุวรรณภูมิเพื่อขอความช่วยเหลือในด้านอุปกรณ์ต่างๆ เพราะที่นี่เครื่องลงมาแล้วแต่อุปกรณืไม่พอ เพราะอุปกรณ์ที่มีอยู่ใช้ได้กับเครื่องตัวเล็กเท่านั้น เราได้ไปรับไฟลท์แรกคือ TK ลง 1300 น. เราได้ไปขอเช่าบันไดของการบินไทยมาให้บริการก่อน และใช้รถซาฟารี(รถรางเล็กๆ)รับส่งผู้โดยสารพอแก้ไขสถาณการณ์ไปก่อนซึ่งตอนแรกเราคิดว่าผู้โดยสารคงต่อว่าเราหรือเปล่า แต่ผิดคาดเพราะผู้โดยสารหลายคนกลับตื่นเต้นกับบรรยากกาศสนามบินในท้องทุ่งและบรรยากาศความวุ่นวาย ต่างพากันถ่ายภาพใว้เป็นที่ระลึก เครื่องลำแรกเหมือนเตือนว่าเราต้องทำอะไรต่อไป แต่เราก้เจอปัญหาจนได้เมื่อทางการบินไทยปฎิเสธที่จะให้อุปกรณ์กับเราในทันทีทันใด เนื่องด้วยเครื่องของการบินไทยเองก็ลงแบบติดต่อกัน เป้นเหตุให้เครื่องของเราที่ลงมาแล้วผู้โดยสารต้องนั่งรอบนเครื่องประมาณ 1หรือ2 ชม. ขึ้นไป เราและเจ้าหน้าที่สายการบินต้องพยายามอ้อนวอนขอแค่รถบันไดมาให้ผู้โดยสารลงก่อน แล้วจึงคืนให้ เป็นปัญหาที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น โชคดีที่ผู้โดยสารเข้าใจสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปัญหาไม่ได้เกิดตอนลงเท่านั้นสิ เพราะเมื่อผู้โดยสารเข้าไปยังอาคารแล้วปรากฏว่าต้องไปออ กันที่ทางออก อันเนื่องจากช่องบริการของ ตม. มีจำนวนจำกัด ทะลักทะล้นออกมาถึงด้านนอก ด้านในก็อยากออกมา ด้านนอกก็อยากเข้าไป ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ถึงขนาดมีปากมีเสียง มีแต่การบันทึกภาพแห่งความทรงจำและภาพประวัติศาสตร์ ณ ที่แห่งนี้เท่านั้น เมื่อนำทางรถมาส่งผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว
เวลาประมาณ 5 โมงเย็นผมได้รับข่าวร้ายว่า ต้องอยู่ อู่ตะเภาต่อและต้องอยู่คนเดียว ผมตกใจมากเพราะว่าไม่ได้ตั้งตัวเลย อะไรก็ไม่มีสักอย่างเพราะคิดว่าเสร็จไฟลท์ก็กลับแล้ว แต่ด้วยหน้าที่ก็ไม้อาจปฏิเสธได้ ทางสุวรรณภูมิจะส่งชุดอุปกรณ์ทุกอย่างมาสนับสนุนที่อู่ตะเภา พร้องกับ ส่งรถมาให้ผมใช้ 1 คัน (ค่อยยังชั่ว) พร้อมกับทีมงานที่จะสลับกันมาจนกว่าจะเข้าที่เข้าทาง เฮ่ออย่างน้อยก็มีอุปกรณ์แล้ว
วันที่ 1 ธค UL ,ORB,WY เป้นสามเที่ยวบินแรกที่ลงมาซึ่งตอนนี้ผมไม่หนักใจแล้วเพราะอุปกรณ์พร้อมทีมงานพร้อม ไม่ง้อการบินไทยแล้ว ทุกอย่างเป้นไปด้วยดี แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อน้ำมันที่ให้บริการไม่เพียงพอ สำหรับจำนวนเที่ยวบินที่ขึ้นลงเกือบ 100 กว่าเที่ยว/ วัน เป้นเหตุให้ สายการบิน TK ที่บอร์ดผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 1600 น. ต้องรอน้ำมันถึง 2000 น. และได้เวลาถอยอีกที่ ต้อน 2130 น. ไม่เข้าใจว่าทำไมปัญหานี้ถึงเกิดขึ้นได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ออกมาขอโทษ เพราะไม่เพียงแต่สายการบินเราเท่านั้นสายการบินอื่นๆก็ต้องรอ
จากปรสบการณื 2-3 วันที่ผ่านมาทำให้หาข้อสรุปได้ว่า หากให้ผู้โดยสารมาเช็คอินที่อู่ตะเภาแห่งเดียวคงทำให้ล่าช้า ดังนั้นทางการท่าอากาศยานจึงเปิดศูนย์เช็คอิน ตามที่ต่างๆ เพื่อความสะดวก ทั้งที่ไบแทค -บางนา และตามโรงแรมใหญ่ๆ และจัดรถรับส่งมายังสนามบิน แต่เหมือนสร้างปัญหาให้เรามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะว่ารถรับส่งผู้โดยสารมาไม่พร้อมกันบ้าง บางทีรถผู้โดยสารมา แต่รถกระเป๋าไม่มา ต้องรอกัน ไปรอกันมา เพราะแต่ละลำก็ใช้รถบัสใหญ่ 15 คันรถจากที่จะออกตามเวลา ก็ ดีเลย์ไปไม่มีกำหนด เสร็จเมื่อไหร่ก็ขอออกเมื่อ นั้น แทน ผมไม่รู้จะอธิบายความวุ่นวายในขณะนี้ได้อย่างไร เพราะทุกคนอยากกลับบ้าน และพวกเราทุกคนก็พยายามส่งบรรดาผู้โดยสารทุกท่านกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ และประทับใจที่สุด ดังนั้นแม้จะเหนื่อยกาย แต่เมื่อใดที่เห็นผู้โดยสารก้าวขึ้นเครื่อง บางท่านกอดกันร้องให้ บางท่านโบกมือให้พวกเรา ทุกคนบันทึกภาพแห่งประวัติศาสตณ์ของเขาใว้ เพื่อเก็บใว้บอกตัวเอง ว่า การเดินทางครั้งนี้ ยาวนานเหลือเกิน
อยากขอบคุณทุกคน น้องๆ ที่ร่วมแรงร่วมใจเหน็ดเหนื่อย เป็นตัวแทนคนไทยทั้งชาติส่ง แขกที่มาเยี่ยมเยียยนเรากลับสู้บ้านเกิดด้วยความเต้มใจ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ไม่ปริปากบ่น ส่วนตัวแล้วผมได้นอนคืนหนึ่ง 3-4 ชม. ก็ถือว่านานแล้ว แต่สิ่งที่พวกเราได้รับนัน้ไม่ใช่เงินทองไม่ แต่สิ่งที่เราภาคภูมิใจคือ รอยยิ้มของผู้โดยสารที่ส่งให้พวกเรา การโบกมืออำลาพวกเราจะจดจำใว้ว่า อู่ตะเภา เราไม่มาอีกแล้ว พัธมิตร นปก นปช ได้โปรดอย่าทำลายประเทศชาติอีกเลย แค่นี้พวกเราก็บอบ ช้ำจนเกินเยียวยาแล้ว อย่าทุบหม้อข้าวตัวเอง เลย เพราะทุกวันนี้แม้เปิดดำเนินการมาแล้ว หลาย วัน แต่ เที่ยวบิน และผู้โดยสารกลับลดลงอย่างน่าใจหาย ผมและพี่ๆน้องๆไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบเดิมแล้วอยากให้รักกันสามัคคีกันใว้เพื่อไทยจะก้าวผ่านวิกฤตในวันนี้ให้ได้