ตั้งใจใว้ว่ากลับจากอู่ตะเภาแล้วจะมาเขียนเรื่องราวการผจญภัยที่หาที่ใหนไม่ได้อีกแล้ว ต้องขอบคุณพี่น้องพันธมิตรที่หยิบยื่นโอกาสนี้ให้กับผมและน้องๆได้ไปเที่ยวพักผ่อนพร้อมผจญภัยในช่วงต้นฤดูหนาวแบบนี้ พี่สาวและเพื่อนๆหลายคนต่างกดโทรศัพท์มาสอบถามว่า " หยุดกี่วัน? ได้หยุดหรือเปล่า? ไปโน่นไปนี่กันใหม" โฮมีใครถามผมบ้างครับว่าตอนนี้ทำอะไรอยูที่ใหน ผมจึงตอบทุกคนว่าตอนนี้กำลังมาเที่ยวตากอากาศที่อู่ตะเภา เล่นเอาทุกคนอิจแตร้อนกันเลยครับ แต่หารู้ใหมว่าตอนนี้ผมกำลังวิ่งเป็นสาละวนเพราะงานเข้าแล้วครับพี่น้อง ผมได้ถูกส่งตัวไปทำหน้าที่ประสานงานและให้บริการสายการบินลูกค้าเป็นการชั่วคราวที่อู่ตะเภา ไม่ได้ไปเที่ยวอะไรที่ใหนหรอกครับ สาเหตุก็เพราะว่าบรรดาญาตๆของผมท่านเล่นมาขอใช้สนามบินสุวรรณภูมิเป้นที่ปิคนิค ชั่วคราวระหว่าง 25พย-04 ธค. แต่ผมได้รับคำสั่งไปอู่ตะเภาในคืนวันที่ 29 พยเนื่องจากมีสายการบินที่เราให้บริการแจ้งความประสงค์ที่จะนำเครื่องมารับผู้โดยสารของตนกลับ ตอนรับโทรศัพท์ก็ยืนยันว่าไปแค่ 2 วันไปกับพี่อีกคนที่แผนกไปดูหน่อยว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ผมจึงเก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ผมไปถึงชลบุรีเอาตอนเที่ยงคืนก้แวะพักที่บ้านญาตของพี่เขาในเมืองพัทยา เพราะคิดว่าตอนเช้าจะรีบตื่นแต่เช้าไปอู่ตะเภา
เช้าวันที่ 30 พย ผมและพี่อีกคนรีบพากันไปอู่ตะเภาแต่เช้า อากาศกำลังเย็นสบายแต่เอทำไมอู่ตะเภาบรรยากาศมันเหมือนกรุงเทพจังเลย ตอนแรกนึกว่าหลงทางครับ เพราะว่ารถราพลุกพล่านไปหมด ไม่เหมือนบรรยากาศการขับรถในต่างจังหวัดเลย เมื่อเราเลี้ยวรถเข้าเขตสนามบินก็มีบรรดาทหารกล้ามาคอยให้คำแนะนำ ว่าไปทางใหน เมื่อเข้ามาถึงเขตทางเข้าผมไม่อยากเชื่อว่าจากท้องทุ่งโล่งๆ ถนนโล่งๆ จะเต็มไปด้วยรถรา และบรรดาผู้โดยสารมากมายขนาดนี้ ผมใช้เวลาร่วมชั่วโมงในการหาที่จอดรถ มองไปทางใหนก้เต็มไปด้วยผู้โดยสารที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการกลับบ้าน กองทัพนักข่าวที่มาติดตามทำข่าวทั้งไทย ทั้งเทศ ดูสับสนอลหม่านไปหมด แต่ละสำนักข่าวก็อยากได้ข่าวของพลเมืองตัวเอง สอบถามได้ความว่าอู๋ตะเภาตัดสินใจเป้นสนามบินรองรับผู้โดยสารที่จะเดินทางออกนอกประเทศและกลับมายังประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 28 พย ที่ผ่านมาซึ่งตอนแรกนั้นมีเพียงเที่ยวบินของการบินไทยและบางอกอแอร์เวส์ของผมเท่านั้นที่มาใช้บริการ แต่เมื่อแจ้งข่าวไปยังสายการบินอื่นๆที่ต้องการมารับผู้โดยสารของตนกลับประเทศเท่านั้น จากที่เคยรองรับ 5-6 เที่ยว/วัน เนื่องด้วยสภาพอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวก มีเพียงอย่างละ 1 เท่านั้น เน้น 1 เท่านั้น ทำให้สนามบินอู่ตะเภาแน่นขนัดทันตาเห็น ทันที่ที่ผมก้าวออกจากรถ ความวุ่นวายก็วิ่งเข้ามาหาทันที เราจะไปทางใหนดี เพราะสิ่งแรกที่เราต้องทำคือ ต้องหาทางเข้าให้ได้ก่อน เราต้องฝ่ากองทัพผู้โดยสารเข้าไปให้ได้ก่อน โชคดีที่น้องคลีนเนอร์ที่มาก่อนเราได้มานำทางเข้าไปจนได้
เช้าวันที่ 30 พย เราได้รับแจ้งว่ามีสายการบินมาลง 8 สาย TK, WY,EK,EY,FX,ORB,UL,QR ซึ่งผมได้แจ้งกลับมายัง สุวรรณภูมิเพื่อขอความช่วยเหลือในด้านอุปกรณ์ต่างๆ เพราะที่นี่เครื่องลงมาแล้วแต่อุปกรณืไม่พอ เพราะอุปกรณ์ที่มีอยู่ใช้ได้กับเครื่องตัวเล็กเท่านั้น เราได้ไปรับไฟลท์แรกคือ TK ลง 1300 น. เราได้ไปขอเช่าบันไดของการบินไทยมาให้บริการก่อน และใช้รถซาฟารี(รถรางเล็กๆ)รับส่งผู้โดยสารพอแก้ไขสถาณการณ์ไปก่อนซึ่งตอนแรกเราคิดว่าผู้โดยสารคงต่อว่าเราหรือเปล่า แต่ผิดคาดเพราะผู้โดยสารหลายคนกลับตื่นเต้นกับบรรยากกาศสนามบินในท้องทุ่งและบรรยากาศความวุ่นวาย ต่างพากันถ่ายภาพใว้เป็นที่ระลึก เครื่องลำแรกเหมือนเตือนว่าเราต้องทำอะไรต่อไป แต่เราก้เจอปัญหาจนได้เมื่อทางการบินไทยปฎิเสธที่จะให้อุปกรณ์กับเราในทันทีทันใด เนื่องด้วยเครื่องของการบินไทยเองก็ลงแบบติดต่อกัน เป้นเหตุให้เครื่องของเราที่ลงมาแล้วผู้โดยสารต้องนั่งรอบนเครื่องประมาณ 1หรือ2 ชม. ขึ้นไป เราและเจ้าหน้าที่สายการบินต้องพยายามอ้อนวอนขอแค่รถบันไดมาให้ผู้โดยสารลงก่อน แล้วจึงคืนให้ เป็นปัญหาที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น โชคดีที่ผู้โดยสารเข้าใจสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปัญหาไม่ได้เกิดตอนลงเท่านั้นสิ เพราะเมื่อผู้โดยสารเข้าไปยังอาคารแล้วปรากฏว่าต้องไปออ กันที่ทางออก อันเนื่องจากช่องบริการของ ตม. มีจำนวนจำกัด ทะลักทะล้นออกมาถึงด้านนอก ด้านในก็อยากออกมา ด้านนอกก็อยากเข้าไป ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ถึงขนาดมีปากมีเสียง มีแต่การบันทึกภาพแห่งความทรงจำและภาพประวัติศาสตร์ ณ ที่แห่งนี้เท่านั้น เมื่อนำทางรถมาส่งผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว
เวลาประมาณ 5 โมงเย็นผมได้รับข่าวร้ายว่า ต้องอยู่ อู่ตะเภาต่อและต้องอยู่คนเดียว ผมตกใจมากเพราะว่าไม่ได้ตั้งตัวเลย อะไรก็ไม่มีสักอย่างเพราะคิดว่าเสร็จไฟลท์ก็กลับแล้ว แต่ด้วยหน้าที่ก็ไม้อาจปฏิเสธได้ ทางสุวรรณภูมิจะส่งชุดอุปกรณ์ทุกอย่างมาสนับสนุนที่อู่ตะเภา พร้องกับ ส่งรถมาให้ผมใช้ 1 คัน (ค่อยยังชั่ว) พร้อมกับทีมงานที่จะสลับกันมาจนกว่าจะเข้าที่เข้าทาง เฮ่ออย่างน้อยก็มีอุปกรณ์แล้ว
วันที่ 1 ธค UL ,ORB,WY เป้นสามเที่ยวบินแรกที่ลงมาซึ่งตอนนี้ผมไม่หนักใจแล้วเพราะอุปกรณ์พร้อมทีมงานพร้อม ไม่ง้อการบินไทยแล้ว ทุกอย่างเป้นไปด้วยดี แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อน้ำมันที่ให้บริการไม่เพียงพอ สำหรับจำนวนเที่ยวบินที่ขึ้นลงเกือบ 100 กว่าเที่ยว/ วัน เป้นเหตุให้ สายการบิน TK ที่บอร์ดผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 1600 น. ต้องรอน้ำมันถึง 2000 น. และได้เวลาถอยอีกที่ ต้อน 2130 น. ไม่เข้าใจว่าทำไมปัญหานี้ถึงเกิดขึ้นได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ออกมาขอโทษ เพราะไม่เพียงแต่สายการบินเราเท่านั้นสายการบินอื่นๆก็ต้องรอ
จากปรสบการณื 2-3 วันที่ผ่านมาทำให้หาข้อสรุปได้ว่า หากให้ผู้โดยสารมาเช็คอินที่อู่ตะเภาแห่งเดียวคงทำให้ล่าช้า ดังนั้นทางการท่าอากาศยานจึงเปิดศูนย์เช็คอิน ตามที่ต่างๆ เพื่อความสะดวก ทั้งที่ไบแทค -บางนา และตามโรงแรมใหญ่ๆ และจัดรถรับส่งมายังสนามบิน แต่เหมือนสร้างปัญหาให้เรามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะว่ารถรับส่งผู้โดยสารมาไม่พร้อมกันบ้าง บางทีรถผู้โดยสารมา แต่รถกระเป๋าไม่มา ต้องรอกัน ไปรอกันมา เพราะแต่ละลำก็ใช้รถบัสใหญ่ 15 คันรถจากที่จะออกตามเวลา ก็ ดีเลย์ไปไม่มีกำหนด เสร็จเมื่อไหร่ก็ขอออกเมื่อ นั้น แทน ผมไม่รู้จะอธิบายความวุ่นวายในขณะนี้ได้อย่างไร เพราะทุกคนอยากกลับบ้าน และพวกเราทุกคนก็พยายามส่งบรรดาผู้โดยสารทุกท่านกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ และประทับใจที่สุด ดังนั้นแม้จะเหนื่อยกาย แต่เมื่อใดที่เห็นผู้โดยสารก้าวขึ้นเครื่อง บางท่านกอดกันร้องให้ บางท่านโบกมือให้พวกเรา ทุกคนบันทึกภาพแห่งประวัติศาสตณ์ของเขาใว้ เพื่อเก็บใว้บอกตัวเอง ว่า การเดินทางครั้งนี้ ยาวนานเหลือเกิน
อยากขอบคุณทุกคน น้องๆ ที่ร่วมแรงร่วมใจเหน็ดเหนื่อย เป็นตัวแทนคนไทยทั้งชาติส่ง แขกที่มาเยี่ยมเยียยนเรากลับสู้บ้านเกิดด้วยความเต้มใจ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ไม่ปริปากบ่น ส่วนตัวแล้วผมได้นอนคืนหนึ่ง 3-4 ชม. ก็ถือว่านานแล้ว แต่สิ่งที่พวกเราได้รับนัน้ไม่ใช่เงินทองไม่ แต่สิ่งที่เราภาคภูมิใจคือ รอยยิ้มของผู้โดยสารที่ส่งให้พวกเรา การโบกมืออำลาพวกเราจะจดจำใว้ว่า อู่ตะเภา เราไม่มาอีกแล้ว พัธมิตร นปก นปช ได้โปรดอย่าทำลายประเทศชาติอีกเลย แค่นี้พวกเราก็บอบ ช้ำจนเกินเยียวยาแล้ว อย่าทุบหม้อข้าวตัวเอง เลย เพราะทุกวันนี้แม้เปิดดำเนินการมาแล้ว หลาย วัน แต่ เที่ยวบิน และผู้โดยสารกลับลดลงอย่างน่าใจหาย ผมและพี่ๆน้องๆไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบเดิมแล้วอยากให้รักกันสามัคคีกันใว้เพื่อไทยจะก้าวผ่านวิกฤตในวันนี้ให้ได้
วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551
วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
พันธมิตร + สุวรรณภูมิ
จะตี1 แล้วเวลานี้หลายๆคนคงกำลังหลับสบาย แต่ในขณะที่ผมและน้องๆอีกไม่กี่คนที่ต้องอดตาหลับขับตานอนนั่งเฝ้าออฟฟิตอยู่และหูก็รอฟังประกาศต่างๆจากทางทีวีบ้าง วิทยุบ้าง ใช่ครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะงานและที่ทำงานผมก็อยุ่ที่นี่ หลายคนบอกว่าก็สนามบินปิดแล้วยังไปทำไมอีก ผมก็อยากบอกว่าไม่อยากมาเหมือนกัน แต่เพราะหน้าที่เราก็ต้องมา ผมอาศัยหลับนอนที่สุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 25 พย2551-26 พย 2551 ซึ่งวันนี้คงเป้นดึกสุดท้ายแล้ว เพราะถ้ามากก่านี้คงตายแน่ๆ เพราะอาการไข้ที่เพิ่งหาย+การอดหลับอดนอน น้องๆหลายคนที่รู้สึกตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้ต่างรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยกับสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น เพราระทางการท่าอากาศยานไม่อนุญาตให้เข้าออกสนามบินเลย ตั้งแต่ 3 ทุ่มของวันที่ 25 พย 51 แต่ด้วยความที่เราเป้นพันธมิตรก็พูดเล่นๆว่าไม่ต้องกลัวหรอกน้อง ลุงจำลอง+ลุงสนธิ ไม่ให้ใครทำร้ายพวกเราหรอก 555 ทางผู้บริหารได้ให้เราจัดการหาเสื้อที่มีสีไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดมาให้พนักงานเปลี่ยนเพื่อให้ทุกคนสมารถเดินทางออกจากสุวรรณภูมิได้ในตอนเช้าของวันที่ 26 รวมทั้งผมด้วย ผมกลับมานอนพักเอาแรงเพื่อที่คืนนี้ต้องมาแสตนบายที่ออฟฟิตอีกคืน แต่ระหว่างนั้นแทบไม่ได้หลับนอนเลยทีเดียวเพราะโทรศัพท์ดังตลอดเวลาจากผู้ที่เป็นห่วงและผู้ที่อยากรู่ข่าวคราวความเคลื่อนใหว ผมก็บอกทุกคนว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ด้วยความที่อยากยืนยันให้ทุกคนได้สบายใจกับเหตุการณืที่เกิดขึ้น คืนนี้ 26 พย 51 ผมจึงขับรถเพื่อไปดูการชุมนุมด้วยตัวเอง แทบไม่เชื่อสายตาเลยว่าสนามบินที่กว้างขวางจะดูคับแคบไปถนัดตา ด้วยฝูงชนที่มีใจเดียวกัน มารวมกันอยุ่ ณ ที่แห่งนี้ ด้วยสีหน้าและแววตาแห่งความมุ่งมั่น ทุกคนจะมองผมแปลกๆ เนื้องจากผมก็ใส้ยูนิฟอร์มของบริษัท และห้อยบัตรพนักงานด้วย หลายคนถามว่ามาจากใหน พอผมบอกว่า ทำงานอยู่ที่นี่แหละครับ ทุกคนต่างยินดี และขอบคุณที่มาเป้นกำลังใจ มาเป้นเพื่อนกัน พร้อมหยิบยื่นอาหารและเครื่องดื่มให้ด้วยรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ ผมเดินไปทางใหนก็เห็นแต่ผู้คนยื่นไม่ยื่นมือทักทายกัน รวมทั้งผมด้วย มันเป้นภาพที่หาดูได้ยากมากที่คนนับหมื่นๆคน มาอยุ่ ณ ที่เดียวกันแต่กลับเหมือนทุกคนเป้นเพื่อนกัน ผมไม่รุว่าด้วยเหตุใด เพราะยิ่งผมใช้เวลาอยู่นานแค่ใหนผมยิ่งรู้สึกผูกพันและรักพวกเขาเหล่านั้นแล้ว เพราะผมได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของพวกเขา หลายคนมาจากต่างจังหวัด และยืนยันว่ามาด้วยใจจริงๆ มีชาวต่างชาติหลายคนที่ติดค้างอยู่ในสนามบินถือโอกาสนี้ ออกมาเดินเที่ยวและร่วมกิจกรรมกับพันธมิตรด้วยความสนุกสนาน ผมได้ถามผูโดยสารท่านหนึ่ง ว่ารู้สึกตกใจกับเหตูการณืที่เกิดขึ้นหรือเปล่า ซึ่งเขาบอกว่าตอนแรกก็ตกใจแต่พอได้เห็นกลุ่มพันธมิตรที่มาชุมนุม แต่งกายด้วยสีเดียวกัน ใบหน้ายิ้มแย้ม และหยิบยื่นอาหารให้แก่เขาเอง เขากลับรู้สึกว่ามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และเขายังถือโอกาสนี้เก็บภาพเหล่านี้เป้นความทรงจำของเขาต่อไปโดยปราศจากความกลัวและหวาดระแวงโดยสิ้นเชิง หลายคนอาจมองว่านี่คือความหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศซึ่งอาจจะใช่ครับ แต่ผมกลับมองว่ามันคุ้มนะกับสิ่งที่เราจะได้จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ถึงตอนนี้ก็ขอให้ทุกคนที่อาจสาปแช่งพันธมิตรแต่ขอให้คนที่ยังไม่เข้าใจได้ใช้วิจารณญาณอีกสักนิดเพราะพันธมิตรไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิดนะครับ
วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ทุกข์ของชาวนา...กระดูกสันหลังของชาติ...ขำจัง
ยังไม่ทันจะสิ้นเดือนดีเลย พี่สาวก็โทรมาขอตังอีกแล้ว 5000 บาทถ้วนๆ บอกว่าถึงเวลาเกี่ยวข้าวรอบแรกแล้วนะ หลายคนที่ไม่เคยทำนาอาจ งง ว่ามีรอบแรกรอบสองด้วยหรอฉันก็เห็นแต่เขาเกี่ยวทีเดียวทั้งนั้น แต่เด๊ยวก่อนครับวันนี้ผมจะเล่าให้ฟัง ด้วยสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนที่ราบสูงพื้นที่จะไม่ได้ระดับ จะลุ่มๆดอนๆ ไม่เหมือนในภาคกลาง ดังนั้นการปลูกข้าวจึงต้องใช้พันธ์ข้าวที่แตกต่างกัน นาในที่ดอนหรือที่สูงจากระดับน้ำก็จะลงพันธ์ข้าวที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นๆให้ทันน้ำฝน เช่นข้าวหอมมะลิ ข้าวนาปรัง เป็นต้น เพราะพอฝนหมดข้าวก็พอยืนต้นทันได้ออกดอกกออกรวงได้เก็บเกี่ยว ส่วนนาในที่ลุมก็จะลงพันธ์ข้าวที่อายุการเก็บเกี่ยวนานขึ้น พันธ์ข้าวก็จะต่างไปอีก ดังนั้นช่วงนี้ทางบ้านก็จะเกี่ยวข้าวหอมมะลิก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งปีนี้ผมลงเยอะด้วยสิเพราะราคามันดีกว่าข้าวพันธ์อื่นๆ และปีนี้ก็ซื้อพันธ์ข้าวมาแพงลิบกระสอบแตะ 750 บาททีเดียว ซื้อมา 8 กระสอบ/6 พันบาทนิด บวกค่าขนให้เขาด้วยเฮอ่แพงตั้งแต่พันธ์ข้าวแล้ว ที่จริงผมเพิ่งกลับไปดูผลผลิตด้วยตัวเองเมื่อต้นเดือนนี้เอง เห้นแล้วก็ชื่นใจ แต่ด้วยความขี้สงสัยปน งก นิดนึงก็โพล่งออกไปว่า * อะไรกัน 5 พันเลยหรอทำไรมั่งอะ* พี่สาวเลยสวนกลับมาทันที ก็จ้างเขาเกี่ยวข้าวไง วันละ 140-150 บาท คราวนี้ผมถึงตาสว่าง โอโฮสมัยนี้ค่าจ้างมันสูงขนาด 140/150แล้วหรอ จำได้ว่าสมัยเรารับจ้างยังวันละ 35 บาทอยู่เลย (นานแล้ว) เฮ่อสมัยนี้อะไรมันก็แพงไปหมดปีที่แล้ว ยัง วันละ 100-110 อยุ๋เลย ถึงราคาข้าวว่าดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้ชาวนาร่ำรวยอะไรหรอกครับ เพราะค่าใช้จ่ายอื่นๆจิปาถะ ใหนจะค่าปุ๋ย ค่าไถ ค่าจ้างอื่นๆ อีก ขนาดผมนาแค่ 30 กว่าไร่ ปีนี้ก็ล่อไปเกือบ 3-4 หมื่นนี่ยังรวมค่าเก็บเกี่ยวค่าจ้างในการขนย้ายอีกนะ รวมๆปีหนึ่งๆผมก็ลงทุนไปอย่างน้อยก็ 5 หมื่นกว่าบาท บางคนอาจมองว่าน้อยนิดแต่สำหรับผมมันค่อนข้างเยอะนะ แต่ทำไงได้เราไม่ได้ไปทำเอง ก็ต้องจ้าง มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่มีการลงแขกเกี่ยวข้าว เราไปช่วยเขาเขามาช่วยเรา จะให้จ้างรถมาเกี่ยวมันก็ไม่คุ้มเพราะแพงเหลือเกิน แค่นี้ก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว บางคนมองแต่ว่าราคาข้าวดี แต่ไม่ได้มองว่าชาวนาลงทุนสูงแค่ใหน เพราะราคาปุ๋ยจากกระสอบละ 500-600 ก็เป้น 1000-1200 คือยิ่งราคาข้าวดี ราคาปุ๋ยก็ดีตามเป็นเงาตามตัว ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ลงมาดูปัญหาที่แท้จริงของชาวนาเลย แค่ตีฆ้องร้องป่าวว่าราคาข้าวดีเพื่อให้ชาวนาได้ดีใจ แต่ไม่ได้มาดูแลราคาปุ๋ย ยาฆ่าแมง ยาปราบศัตรูพืช ที่ขึ้นราคาไปดักคอชาวนาก่อนแล้ว ต่อให้รํบขึ้นราคาแค่ใหน ชาวนาก็ไม่มีวันร่ำรวยได้หรอก ผมเองก็ใช่จะอยากทำนา หรือหวังรวยจากการทำนา แต่เพราะมันคือสมบัติที่พ่แม่ท่านหวงแหนหาไว้ให้ จะละทิ้งก็เสียดายก็เลยต้องสืบทอดเจตนารมของท่านด้วยการเป็นเกษตรกรจำเป็นจนถึงทุกวันนี้...
วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
บ้านดอนข่า...ที่คิดถึง
เผลอแปปเดียวก็ย่างเข้า เดือนพฤศจิกายนแล้ว ลมหนาวก็เริ่มพัดผ่านแก้มอันหยาบกระด้างของเราอีกปี เข้าหน้าหนาวทีไรอดที่จะหวนนึกถึงบ้านเกิดไม่ได้ สมัยเป็นเด็กประถมเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดเพราะแต่ละฤดูวงจรชีวิตของพวกเราก็เปลี่ยนตามง่ายๆคล้ายกิ้งก่าเปลี่ยนสีตามใบไม้ยังไงอย่างงั้น จำได้ว่าหน้าหนาวทีไรเด็กๆมักจะนอนขี้เซาแต่ไม่ใช่เลยสำหรับผมและเพื่อนๆเพราะหน้าหนาวยิ่งต้องตื่นเช้ากว่าปกติ (ประมาณ ตี 5.30) เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือห้วยท้ายหมู่บ้านที่น้ำเริ่มแห้งขอดตามกาลเวลา ใช่คับ เราไปหาปลา ไปจับปลาจับด้วยมือเปล่า เพียวๆนี่หละครับ เพราะเช้าๆปลาจะไม่ว่ายน้ำมันจะนอนหรือซุกตัวอยู่ตามซอกไม่ ซอกใบไม้ หรือ อะไรที่พอกำบังตัวมันได้ หลายคนคงคิดว่าโฮ เช้าแบบนี้ยังไปลงน้ำหาปลาอีกหรอ ใช่คับ เวลานี้หละเหมาะที่สุดเพราะน้ำที่เราคิดว่าจะเย็นนั้นกลับอบอุ่นกำลังดี มิน่าปลาถึงได้นอนหลับสบายโดยไม่รุ้ว่ามัจจุราชกำลังเดินทางมาแล้ว พวกเราค่อยๆหย่อนเท้าเพื่อไม่ให้ปลาตื่น แล้วค่อยๆเดินตะคุ่มตะคุ่มไปตามกองใบไม้ กอไม้ ซึ่งไม่ผิดหวังเลยเพราะทุกกองที่เราตระคุบจะมีปลาเล็กปลาน้อยติดมือมาทุกครั้งไป หากใครได้ปลาช่อนซึ่งถือว่าเป้นแจ๊คพอต ก็จะตะโกนบอกเพื่อนๆ พวกเราใช้เวลาอยุ่สักพักจนพระอาทิตย์ทอแสงสีทองเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกชีวิตได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เว้นแต่บรรดาปลาเล้กปลาน้อยในถุงของพวกเรากลับมาจบชีวิตในช่วงเช้าซะนี่ ( บาปกรรม) ได้เวลากลับบ้านเพื่อเอาไปให้แม่ทำกับข้าวเช้านี้ ส่วนมากแม่ก็จะปิ้งหรือไม่ก็หมกแค่นี้ก็เป้นอาหารชั้นเลิศของผมแล้ว เมื่อกินข้าวกินปลาเสร็จก็พอดีเวลาไปโรงเรียน ถึงจะออกแต่เช้าแต่ก้ไม่เคยถึงโรงเรียนแต่เช้าเลย ครับ เพราะห้องเรียนธรรมชาติมันมีตลอดสองข้างทาง กว่าจะถึงโรงเรียนก็เกือบ 8 โมง ทันเข้าแถวพอดี ฤดุหนาวแบบนี้ส่วนใหญ่คุณครูมักจะพาออกมานั่งเรียนนอกห้องเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนอีกแบบซึ่งผมและเพื่อนๆจะชอบมากๆเพราะไม่ค่อยชอบความหนาวกันเท่าไหร่อาจเพราะพวกเราไม่ค่อยมีเสื้อกันหนาวสวมใส่กันเพราะมันเป้นอะไรที่ไม่ชินสำหรับพวกเราอยุ่แล้ว เมื่อเสียงรฆังบอกเวลาเข้าแถวเพื่อรอกลับบ้านเวลานี้เองที่พวกเราจะนัดแนะกันว่าเย็ยนี้จะทำอะไรกันบ้าง มันก็ไม่มีอะไรมากเพราะทำอยู่ซ้ำๆ อันดับแรกเลยคือหาปลา เพราะช่วงเย็นๆใกล้พระอาทิตย์ตกดินปลามักจะเข้าที่กำบัง ไม่รู้ทำไมมันก็ไม่เข็ดนะ รู้ๆๆอยุ่ว่ามาแอบตรงนี้อายุจะสั้นก็ยังมากันอยุ่เรื่อยๆ พอตกกลางคืนก็มีนัดกันจับจิ้งหรีด (อาหารชั้นเลิศ) วิธีจับก็คือเดินไปตามเสียงที่พวกมันร้อง คนหนึ่งส่องไฟ อีกคนถือเสียม พอเห็นปุ๊ปคนถือเสียมก็จะเอาเสียมสับไปที่ปากหลุมกันไม่ให้มันวิ่งลงรู ส่วนอีกคนก็ต้องรีบตระคุบ นึกถึงทีไรก็อดขำไม่ได้ ว่าทำไมสมัยเด็กเราถึงเป็นหัวโจกได้ พอเข้ามัธยมทั้งผมและเพื่อนๆก็แทบจะไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้อีกเลย เพราะตอนเช้าก็ต้องรับตื่น ตอนเย็นก็กลับถึงบ้านพลบค่ำแล้ว จวบจนปัจจุบันกลับบ้านทีไรผมมักจะเดินไปที่ท้ายหมู่บ้าน ไปดูห้วยที่เราเคยหาปลาที่ตอนนี้ทางการมาทำการขุดลอกเพื่อทำเป็นทางระบายน้ำแบบคอนกรีตที่ไม่มีกอไม้กอหญ้าให้ปลาได้หลบภัยแล้ว ตกดึกก็จะออกมานั่งนอกชานแหงนมองดูดวงดาวยามราตรีกาลส่งแสงสว่างระยับเต็มท้องฟ้าไปพร้อมกับเสียงดนตรียามค่ำคืน จากนักดนตรีพื้นบ้านทีพวกเราเคยไล่ล่าสมัยยังเด็กๆที่ตอนนี้กลับมาเป็นเพื่อนยามเหงาที่ผมสามารถพูดคุยได้ในเวลากลับไปพักผ่อนที่บ้านดอนข่า...
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
who is nachaphatk//ณชพัฒน์ คือใคร
สวัสดีครับ ณชพัฒน์ แก้วธรรม ชื่อนี้คงไม่มีใครรู้จักเท่าไหร่นัก เพราะอาจจะใหม่สำหรับคนคุ้นเคยที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา หากเอ่ยชื่อ ธนา หลายคนคงถึงบางอ้อ ใช่คับ ธนา หรือ ณชพัฒน์ ก็คือคนเดียวกัน ผมเริ่มเปลี่ยนมาใช้ชื่อใหม่นี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่เล่าให้หลายๆคนฟังแล้วบางคนก็ว่าบ้า บางคนก็ว่าดี เรื่องของเรื่องคงเพราะผมคงเชื่อหมอดูด้วย อิอิอิ ความเชื่อส่วนบุคคลห้ามไม่ได้ครับ เอาเป็นว่าชื่อใหม่หรือชื่อเก่าก็สุดแล้วแต่จะเรียกนะครับ แต่ถ้าให้ดี ก็ ขอเป็นชื่อใหม่และกันเพื่อจะได้ เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สำหรับผมแล้วจะใช้ชื่อใหนความเป็นเพื่อน พี่ น้อง ของ ทุกๆคนก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงครับ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)